เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ก.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราไปวัดใช่ไหมเรามีพิธีกรรม พอมีพิธีกรรมนั้นเป็นศาสนพิธี เราว่าสิ่งนั้นเป็นวัด แต่เรามาวัดป่า เห็นไหม มาวัดป่ามันไม่มีพิธีกรรม พอไม่มีพิธีกรรมเราเข้าใจว่าเราไม่ได้ไปวัด หรือเราไปวัดแล้วเราทำบุญไม่สมบูรณ์

ความสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์มันอยู่ที่เจตนา ถ้าเจตนา เห็นไหม ดูสิเวลาทำบุญของเรา ถ้าจิตใจเราเป็นบุญกุศลนะมันดูดดื่ม มันมีความสุขใจ แต่ถ้าเราทำบุญของเราแล้วเราสงสัย ในใจเรามันมีอะไรขวางหัวใจอยู่ แต่ถ้าเจตนาของเราสะอาดบริสุทธิ์ เจตนาของเราดี เราทำปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ อันนั้นเป็นบุญกุศล

แต่พิธีกรรมก็เป็นพิธีกรรม ทีนี้เวลาคนรุ่นนี้ เห็นไหม เราเป็นประเพณีวัฒนธรรม เราทำจนเคยชิน พอทำจนเคยชิน นี่เวลาทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ไง เด็กรุ่นใหม่เขาบอก ตอนนี้นะเขาไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เขาไม่นับถือศาสนา เพราะศาสนาพิสูจน์ไม่ได้ เขานับถือวิทยาศาสตร์ เขานับถือความรู้สึกของเขา

อันนั้นคือความเห็นของเขานะ ความเห็นของเขาเพราะอะไร? เพราะว่าเขามองด้วยวัตถุ เขามองด้วยความเป็นโลก เขาไม่ได้คิดถึงความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริง เพราะมันไม่ได้พิสูจน์นะ อย่างเช่นเราไปคุ้นชินกับสิ่งใด เราคุ้นชินสิ่งใดสิ่งนั้นจะไม่ค่อยมีคุณค่า แต่ถ้าเราไม่คุ้นชินนะ เราพิสูจน์ของเรา สิ่งนั้นจะมีคุณค่ามาก

นี่เวลาพูดถึงว่าไม่นับถือศาสนาใด ไม่นับถือศาสนาใด เพราะศาสนานี่มันเหมือนกับ ดูสิเราทำบุญเสียสละไปแล้วมันได้สิ่งใดมา เวลาค่าน้ำใจเขาไม่เห็นนะ เวลาคนทุกข์คนยากแล้วมีคนช่วยเหลือเจือจานเรา เราจะซึ้งบุญคุณเขาไปตลอดชีวิตนะ นั้นเวลาเราทุกข์เรายาก

เวลาทุกข์ยาก คนที่เขาช่วยเหลือเจือจานเราเพราะอะไรล่ะ? เพราะว่าเราเคยทำสิ่งใดของเรามา ทำไมเขาเห็นแล้วเขามีความเมตตากับเรา แต่เวลาเราทุกข์เรายาก เราต้องทุกข์ทนเข็ญใจ เราต้องปากกัดตีนถีบของเราไป เราต้องกระเสือกกระสนของเราไปเอง เห็นไหม นี่คนเราสร้างมาแตกต่างกัน ถ้าความสร้างมาแตกต่างกัน จริตนิสัยก็แตกต่างกัน ความแตกต่างกัน การพิสูจน์ตรวจสอบมันอยู่ที่ความหยาบความละเอียด ถ้าความหยาบความละเอียดนะมันพิสูจน์ได้

มันพิสูจน์ เห็นไหม ในเมื่อสิ่งที่เป็นนามธรรมมันขัดแย้งในหัวใจเรามหาศาล สิ่งที่ขัดแย้งในหัวใจนะ เราจะไม่มีสิ่งใดพอใจเราเลย ถ้าเราจะตอบสนองหัวใจเราให้มีความพอใจ เราจะตอบสนองด้วยโลกนี้ทั้งใบมันก็ไม่พอใจ ใจมันคิดจินตนาการของมันไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีที่สิ้นสุด เราจะเอาอะไรตอบสนองมัน แต่ถ้าเรามีศีลของเรา เรามีความปกติของใจใช่ไหม สิ่งนี้จะตอบสนองมัน

นี่ถมทะเล เขาว่าทะเลถมไม่เต็ม แต่ทางวิทยาศาสตร์มันยังถมเต็มได้นะ แต่ถมตัณหาความทะยานอยากในใจมันถมไม่เต็มยิ่งกว่านั้นอีก.. นี้พูดถึงถ้าเขาตรวจสอบไง เขาพิสูจน์กันว่าไม่นับถือศาสนาสิ่งใดๆ เลย เขาว่าเขาเชิดหน้าชูตาของเขา เขาเห็นเราไปวัดไปวา เขาเห็นเราเชื่อประเพณีวัฒนธรรมนะ เขาว่าเป็นคนครึ คนล้าสมัย คนไม่มีเหตุผล เหตุผลพิสูจน์ไม่ได้

ยิ่งเวลาพิสูจน์ นี่เวลาอ่านหนังสือไผ่แดง เห็นไหม เขาบอกว่า

“เวลากราบพระอย่าไปดูหลังพระนะ”

เพราะเวลาไปดูหลังพระ เขาเขียนว่า “พวกเอ็งกราบอิฐ หิน ทราย ปูนทำไม?”

นี่ไงด้วยความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ใช่ไหม? แต่ถ้าเราเป็นธรรม เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า

“เวลาเรากราบพระนี่ถึงพระไหม? ถ้ากราบพระถึงพระนะ กราบถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ กราบถึงเมตตาคุณ กราบถึงปัญญาคุณ กราบถึงวิสุทธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบถึงพระไง”

นี่มันสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างไร? จิตใจเราสกปรกโสมมอย่างนี้ มันสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างไร? สิ่งที่เวลาเราสะอาดบริสุทธิ์เราก็คิดกันขึ้นมาเอง เห็นไหม เราพยายามเอาอารมณ์ของเราทับถมไว้ กดถ่วงมันไว้ แล้วว่าเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ เราก็รู้ของเราได้ แต่ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเรากราบพระ..

ใช่มันเป็นสมมุติ สมมุติว่าเป็นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราแทนไง เราใช้สมมุติไง สมมุติว่าเป็นตัวแทน แต่เวลาเรากราบเราระลึกถึงไง เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงไหม? ทางประวัติศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ว่ามีจริง มีจริงคือว่ามีตัวตนจริง มีสถานที่จริง ประวัติศาสตร์มีจริง

นั้นพูดถึงพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์นะ พิสูจน์ทางศิลปะของเขา แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาพิสูจน์ พุทโธ พุทโธนะ

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เราพิสูจน์กันที่นี่ เห็นไหม เวลาเข้าไปนี่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ เข้าไปถึงแล้วเขาบอกซึ้งใจมาก แต่เวลาเราเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจของเรา นี่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าใครทำจิตของตัวเองสงบได้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

“ความสุขสิ่งใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

เราแสวงหากันสิ่งใด? แต่สิ่งที่แสวงหา เห็นไหม เราทำบุญกุศลวันนี้ก็เพราะเหตุนี้ไง เราทำบุญกุศลเพราะว่าเราเปิดหัวใจของเราไง ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา เห็นไหม ความตระหนี่ถี่เหนียว จิตใจคับแคบ จิตใจเปิดกว้าง ดูบ้านเราสิ บ้านเราถ้าเปิดกว้างอากาศมันถ่ายเท ตอนนี้สภาวะแวดล้อมนะเขาจะพยายามสร้างบ้านโดยไม่ต้องใช้แอร์กันแล้ว อยู่สุขสบายไง แต่เราสร้างบ้านของเรานะ อับ ทึบต่างๆ นี่มันจะทำสิ่งใดล่ะ?

ถ้าจิตใจเราเปิด เห็นไหม เปิดกว้างขึ้นมา การทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ ทำบุญกุศลขึ้นมาให้จิตใจมันเปิดกว้างออกมา ให้จิตใจมันเป็นสาธารณะ ให้จิตใจยอมรับความเห็นต่าง ยอมรับความรู้สึกต่างๆ ยอมรับนะ แล้วพิสูจน์ตรวจสอบ หัวใจเราขัดแย้งกับสิ่งใด? นี่หัวใจที่มันขัดแย้ง มันไม่พอใจ มันมีสิ่งใดขัดแย้ง

ตัณหา วิภวตัณหา.. ตัณหาคือความทะยานอยาก สิ่งที่มันขัดแย้ง มันผลักไส มันไม่ต้องการ มันผลักออกไป แล้วมันผลักได้ไหม? นี่ดูสิมันยิ่งผลักมันยิ่งคิด ความเจ็บปวดแสบร้อนในใจ พยายามจะปฏิเสธมัน มันยิ่งคิด สิ่งใดที่เป็นของดีๆ จะคิดถึงมัน มันคิดแล้วเดี๋ยวมันก็ลืม คิดไม่ได้ดั่งใจเลย แต่สิ่งที่มันชอบใจ แหม.. มันคิดแล้วคิดเล่า อ้าว.. เอาให้อยู่สิ อ้าว.. ถ้าแน่จริงเอาให้ได้สิ ทำไมเอาไม่ได้?

นี่ไงเขาบอกว่าไม่ถือศาสนาใดๆ เลย เป็นคนทันสมัย คนถือศาสนาเป็นคนครึ คนล้าสมัย เวลาเราปลูกต้นไม้นะ ต้นไม้ เห็นไหม เวลาเมล็ดพันธุ์มันเป็นเมล็ดพืชนะ เวลามันแตกหน่อออกมา กว่ามันจะเติบโตขึ้นมา เรารดน้ำ พรวนดินขึ้นมา จิตใจของเราถ้ามันเป็นคุณธรรม สิ่งที่เราสร้างคุณงามความดีนี่เราจะปลูกหน่อพุทธะ

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานนะ พระอานนท์คร่ำครวญร้องไห้ เป็นพระโสดาบันนะ บอกว่า “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ผู้สั่งสอน ผู้คอยบอกเราท่านปรินิพพานไปแล้ว แต่ท่านวางธรรมและวินัยนี้ไว้ แล้วครูบาอาจารย์ของเราที่ประพฤติปฏิบัติถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ ท่านเป็นพยานต่อเราได้ ท่านบอกเราได้ บอกถึงวิธีการกับเราได้

ดูสิมีคนเขาแจกน้ำ ถ้ามันเป็นภัยแล้งเขาแจกน้ำ เขาบอกว่าให้หาภาชนะมาตักตวงน้ำนั้นไป เราจะเอาอะไรไปตักล่ะ? เราจะเอาอะไรไปตัก เราไม่มีสิ่งใดเลยเราจะเอาอะไรไปตัก เอาอะไรไปบรรจุน้ำนั้นมา เวลาจิตใจของเรา เราจะพิสูจน์ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่มีภาชนะ เห็นไหม ว่างๆ ว่างๆ นี่เรามีแต่ร่างกายไง เราพิสูจน์กันได้คือสมองใช่ไหม?

นี่เขาบอกว่าคนเราคิดด้วยสมอง เวลาปัญญาเกิดจากสมอง แต่สมองมันเป็นศูนย์ประสาท เวลาทางพุทธศาสนา ปัญญาเกิดจากใจ ปัญญาเกิดจากจิต นี่ภาวนามยปัญญา.. ปัญญาเกิดจากสมองมันเป็นสัญญา มันเป็นสถิติ มันเป็นข้อมูลที่การศึกษา มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นความรู้ทางโลก แต่เวลาพุทโธ พุทโธ พุทโธ จนจิตมันสงบเข้ามาถึงตัวจิต พอถึงตัวจิตนี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

ภาวนามยปัญญา เห็นไหม เวลาถ้ามันส่งออก มันเคลื่อนมันส่งออกแล้ว ถ้ามันส่งออกมันเป็นอดีต เป็นอนาคตแล้ว แล้วปัญญามันจะชนะกิเลสได้อย่างไร? ถ้าปัญญาในพุทธศาสนามันเป็นอย่างใด? นี่ถ้ามีการฝึกฝน ถ้ามีการพิสูจน์ตรวจสอบ มันจะทันกันมาตลอดไง ถ้าเราไม่มีสิ่งใดตรวจสอบ ไม่มีสิ่งใดพิสูจน์ นี่แล้วก็บอกว่าไม่นับถือศาสนาใดเลย

เขาบอกว่าเวลาไปหาพระมีแต่เสียสละๆ แล้วได้สิ่งใดมา เสียสละมานี่นะมันเป็นเรื่องของเจตนา เรื่องของสมบัติส่วนตนนะ ใครเป็นผู้เสียสละ เราอยู่กับหลวงตานะ หลวงตาเวลาท่านพูดกับพระ ทุกสิ่งทุกอย่างท่านปกป้องดูแลพระได้ เว้นไว้อย่างเดียว เว้นไว้เวลาบุญกุศลของเขา ทานของเขา เขาจะแสวงหาของเขา เป็นสิทธิของเขา ฉะนั้นตรงนี้เราป้องกันให้ไม่ได้

ฉะนั้น ท่านถึงเตือนพระว่า “ให้พระต้องเอาตัวรอด”

คือท่านบอกพระนี่เปรียบเหมือนนา เวลาเขาทำนาของเขา เจ้าของนาเขาจะมาเก็บเกี่ยวเอาข้าวไปทั้งหมด เศษข้าว ฟางหญ้า ตกอยู่ที่นานั้น ภิกษุเป็นเนื้อนาบุญของโลก ถ้าเขามาหว่านพืช เขาทำนาของเขา เพื่อผลประโยชน์ของเขา ภิกษุต้องฉลาด ต้องหาทางหลบหลีก อย่างเช่นต่างๆ นี่ต้องดูแลรักษาตัวเอง เอาตัวเองรอดให้ได้

ท่านบอกว่า “มันเป็นสิทธิของเขา”

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำบุญมันเป็นผลประโยชน์ส่วนตนของเรา ถ้าคนที่หูตาเขาฉลาดนะ มันเป็นผลประโยชน์ส่วนตนของเรา เราเสียสละขนาดไหนมันเป็นทิพย์ เห็นไหม อาหาร สิ่งต่างๆ ที่เราเสียสละไป ตั้งแต่ ๑๐ ปีที่แล้ว เรานึกสิเดี๋ยวนี้มันยังมีควันขึ้น มันยังมีไออุ่นอยู่เลย ถ้าเราเก็บไว้มันเสียหายหมดแล้วนั่นน่ะ

เป็นทิพย์มันฝังลงที่ใจ พอฝังลงที่ใจ เวลาสิ่งที่เราทำมา เวลาสิ่งที่หัวใจนี้ประสบ เวลาเราจะตาย จิตมันออกจากร่างนะ มันก็รับรู้สิ่งที่มันทำไว้นี่ไปกับมัน เห็นไหม มันไปกับจิตไง แต่เวลาเราทำบุญนะ เคาะโลงนะ โป๊กๆๆ กินข้าวๆ นอนอยู่นั่นน่ะ นอนอยู่กินอะไร? นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำบุญกุศล นี่อุทิศส่วนกุศลๆ คือฝากกันไป อุทิศให้ เจาะจงให้ กับเราทำของเราไปเอง เรารักษาของเราไปเอง เราเอาของเราไปเอง

นี่พูดถึงบุญที่เป็นอามิส ที่มันหมุนในวัฏฏะ จิตเรายังเกิดยังตายในวัฏฏะ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเรื่องของเขา อย่างที่เขาว่า เห็นไหม คนรุ่นใหม่เขาไม่นับถือศาสนาอะไร เขาไม่เชื่อว่าการเกิดและการตาย เขาเชื่อว่ามีเท่านี้ เกิดมาก็มีเท่านี้ ตายแล้วก็สูญ

ถ้าพิสูจน์กัน เวลาคนเกิดมา นี่เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน ทำไมความรู้สึกนึกคิดมันไม่เหมือนกัน เกิดมาด้วยกัน ทำไมความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน เวลาเราเจอปัญหาสิ่งหนึ่ง บางคนจิตใจเข้มแข็ง สามารถฝ่าวิกฤติอันนั้นไปได้ด้วยความง่ายดาย บางคนจิตใจอ่อนแอ เจอวิกฤติเล็กน้อยก็สู้กับชีวิตไม่ไหว ทำไมจิตใจมันเป็นอย่างนั้นล่ะ?

เวลาเราเกิดมาในวัฏฏะนะ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา เวลาเราเกิดมานะ พันธุกรรม กรรมพันธุ์เป็นของพ่อของแม่ เพราะเราเกิดมาจากธาตุ ๔ ของพ่อของแม่ ลูกเกิดมาอยู่ในครรภ์ ดื่มเลือดของแม่ น้ำนมที่ดื่มเป็นเลือดของแม่ คลอดออกมาก็ยังดื่มเลือดในอกของแม่ สิ่งนี้เป็นกรรมพันธุ์มา

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่เวลาจิตเป็นของส่วนบุคคล เพราะจิตนั้นมาเอง แม้แต่แฝดออกมาจากไข่ใบเดียวกันยังจิตคนละดวง จิตดวงนี้มันสร้างบุญกุศลมาแตกต่างกันอย่างนี้ไง ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าเขาไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย เขาว่าเป็นความทันสมัยของเขา นี่มันเป็นที่ว่าเขายังหายใจได้ เขายังอยู่สุขสบายเขาก็คิดอย่างนั้น เวลามันทุกข์ขึ้นมานะ เวลานั่งคอตกขึ้นมา มันจะรู้ว่าสิ่งใดจะแก้ทุกข์ได้

บันไดหนีไฟนะ อริยสัจ สัจจะความจริงนี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์มันจะเพิ่มมากขึ้นจำนวนมหาศาลจากตัณหาความทะยานอยาก การขับไส ทุกข์มันจะเกิดจากตัณหาได้อย่างไร? ทุกข์มันจะเกิดจากตัณหา เห็นไหม วิภวตัณหาคือผลักไสมัน ไม่ต้องการมัน

บาดแผล ถ้าเราขุดคุ้ยมันบาดแผลจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เวลาเกิดแผลในหัวใจขึ้นมา แล้วมันเกิดวิภวตัณหา ไม่ต้องการมัน มันจะเกิดให้บาดแผลนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เห็นไหม ทุกข์เป็นความจริง แต่เวลามันขยายด้วยตัณหาความทะยานอยาก ขยายด้วยสมุทัย นิโรธ ความนิโรธดับทุกข์ ดับทุกข์ด้วยอริยสัจ ความดำริชอบ เพียรชอบ.. ดำริชอบชอบอย่างไร? ชอบการพิจารณา การใคร่ครวญมัน

เรามีภาชนะ คือมีหัวใจที่สงบสะอาด หัวใจที่สงบสะอาดมันจะบรรจุธรรมะ เขาต้องการแจกน้ำ เวลาเกิดภัยแล้งเขาแจกน้ำ เราไม่มีสิ่งใดจะไปรับน้ำนั่นมาเลย เราก็ได้ยืนเก้อๆ เขินๆ มองเขาอยู่ แต่ถ้าเราศึกษา เรามีศาสนาประจำหัวใจ แล้วเรารักษาใจของเรา เรารักษาหัวใจของเรา เห็นไหม มันจะเป็นภาชนะ มันจะเป็นสิ่งที่บรรจุ

ถึงภาชนะนี้จะไม่มีสิ่งใดในหัวใจนั้นเลย แต่ภาชนะนี้ก็เตรียมพร้อมที่จะรองรับสิ่งที่เขาแจกน้ำ แจกน้ำคือสัจจะ สัจจะคือความจริง สัจจะ เห็นไหม มันมีของมันอยู่ แต่หัวใจของเรานี่เราพร้อมไหม? ถ้าเราพร้อมของเรา เรารักษาหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ

เขาว่าไม่นับถือศาสนา เขาปฏิเสธเลย จิตใจต่างๆ ตายแล้วสูญ ไม่มีสิ่งใดเลย เขาไม่ดูแลภาชนะของเขา เขาไม่ดูแลหัวใจของเขา เราจะดูแลภาชนะของเรา เราจะรักษาหัวใจของเรา ถ้าบรรจุสิ่งที่เป็นคุณงามความดี บรรจุสิ่งใดมากน้อยแค่ไหน มันก็เป็นอำนาจวาสนาของเรา เห็นไหม

นี่เชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความจริงมันเป็นความจริง ทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง ชีวิตนี้เป็นความจริงอันหนึ่ง ชีวิตนี้เกิดมาแล้วต้องตายอย่างแน่นอน ฉะนั้น ถ้าตายแน่นอนนะ เราจะเอาใจของเรา เอาภาชนะของเรา เพื่อประโยชน์อะไรของเรา? ถ้าเราเป็นคนที่ฉลาดนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“ถ้าตายไปแล้วอนาคตชาติหน้าไม่มี มันก็แล้วกันไป แต่ถ้ามันมีล่ะ?”

ฉะนั้น ถ้ามันมี เราสร้าง เราทำบุญกุศลของเรา มันจะเป็นประโยชน์กว่า เพราะเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกมีมหาศาล ที่ว่าเขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อต่างๆ พระพุทธเจ้าว่า

“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ทำไป ไม่เชื่อ ถ้ามันไม่มีก็เท่าตัว แต่ถ้ามันมีอยู่เราได้ประโยชน์นะ เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา”

นี้พูดถึงพิสูจน์กันในเรื่องของคฤหัสถ์ที่เขาเวียนตายเวียนเกิด แต่นักปฏิบัติเราพิสูจน์ด้วยการปัจจุบันนี้ พิสูจน์ด้วยจิตสงบ พิสูจน์ด้วยการใช้ปัญญา มันจะมหัศจรรย์ มันจะทึ่งกับความรู้สึก มันจะทึ่งกับความเห็น มันจะทึ่งกับภาวนามยปัญญา มันจะทึ่งกับมรรคญาณ มันจะทึ่งกับการชำระล้าง มันจะทึ่งว่าเรารู้ได้อย่างใด เราเห็นได้อย่างใด มันเป็นความมหัศจรรย์ที่พิสูจน์ได้โดยปัจจุบันนี้ เอวัง